ผู้นำในอนาคต
แนวโน้มผู้นำในอนาคต
ในช่วงระยะ 10
ปี แรกของการเริ่มศตวรรษที่ 21 นี้เรื่องภาวะผู้นำจะยังคงเป็นประเด็นร้อนแรงที่อยู่ในความสนใจมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้เพราะมีปัจจัยที่เป็นแรงผลักดันบ่งชี้เกิดขึ้นหลายประการ
ซึ่งจะเป็นแนวโน้มสำคัญที่คาดว่าส่งผลกระทบต่อการศึกษาและการประยุกต์ใช้ภาวะผู้นำในทศวรรษที่
2000 ได้แก่
1. รูปแบบใหม่ขององค์การที่เกิดขึ้น
(New forms of organization)
มีรูปแบบใหม่ขององค์การที่ได้รับการพัฒนาและสร้างอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา
ทั้งนี้เพราะวงการธุรกิจเชื่อในความสำคัญขององค์การในฐานะเป็นขุมกำลังอันทรงพลังที่สามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย
จึงทำให้มีการเน้นเรื่องการออกแบบองค์การ (organization design) และการนำนวัตกรรมต่าง ๆ มาใช้ในการออกแบบใหม่ขององค์การ (Lawler,1996)
อย่างไรก็ตามยังนับว่าอยู่ในวงจำกัดเฉพาะบริษัทธุรกิจข้ามชาติขนาดใหญ่ที่มีโครงสร้างแบบเดิมที่มุ่งการแบ่งตามหน้าที่ภารกิจเป็นส่วนใหญ่
ส่วนองค์การประเภทอื่น ๆ ยังมีการริเริ่มเปลี่ยนแปลงดังกล่าวค่อนข้างน้อย
บทบาทของผู้นำในองค์การรูปแบบใหม่จึงต้องเปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน
โดยคาดว่าผู้นำจะต้องทำหน้าที่ทดแทนในส่วนที่องค์การขาดหายไป เช่น
การบังคับบัญชาตามลำดับชั้น (hierarchy) การควบคุมแบบรวมศูนย์ (centralized control) และความเป็นทางการ
(bureaucracy) เป็นต้น
นอกจากนี้จากองค์การแบบเดิมที่เคยมีจำนวนผู้บริหารมาก
แต่มีจำนวนผู้นำน้อยไปเป็นองค์การแบบใหม่ที่มีจำนวนผู้บริหารน้อยเท่าที่จำเป็นแต่มีจำนวนผู้นำเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้เพราะองค์การแบบใหม่มีกิจกรรมและภารกิจมากมายที่ส่วนใหญ่ต้องอาศัยการประสานสัมพันธ์เป็นหลัก
รวมทั้งผู้นำเหล่านี้ต้องทำหน้าที่ทดแทนสิ่งที่ขาดหายไปกับองค์การแบบเดิม ได้แก่
พฤติกรรมที่เกี่ยวกับการกำกับการจูงใจ และการประสานงานขององค์การ เป็นต้น
2.
การเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง (Leading continuous change)
จากการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
บ่งชี้ชัดถึงบทบาทใหม่ของผู้นำ คือการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งต่างจากบทบาทผู้นำเมื่อ 10 ปีก่อนที่ภาวะแวดล้อมคงที่
ทำให้ผู้นำสามารถใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับเรื่องการสร้างความสัมพันธ์ และด้านกลยุทธ์การปฏิบัติงานเป็นหลัก
แต่ปัจจุบันสภาพแวดล้อมด้านการแข่งขันเพิ่มความรุนแรงมากขึ้นและแนวคิดเชิงธุรกิจเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ยกตัวอย่างเช่น
อายุขัยของการใช้สินค้าบางอย่างสั้นลง เช่น คอมพิวเตอร์ที่ลูกค้าเคยใช้งานได้มากกว่า
5 ปี กลับลดลงเหลือเพียงประมาณ 1 ปีครึ่ง ลูกค้าก็จะเปลี่ยนแปลงเป็นรุ่นใหม่
เป็นต้น การเปลี่ยนแปลงลักษณะเช่นนี้ จึงเป็นหน้าที่สำคัญของผู้นำที่ต้องสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ถูกต้อง
และรู้จักปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับแนวโน้มดังกล่าว
ผู้นำต้องสามารถแยกแยะ ได้ว่า
สิ่งใดที่ค่อนข้างมีความถาวร
และสิ่งใดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลา
รวมทั้งมองเห็นแนวโน้มความสัมพันธ์ของแต่ละบุคคลต่อกันที่มีต่อองค์การ
ผู้นำจึงมีความสำคัญต่อประเด็นเหล่านี้
ในฐานะต้องเป็นผู้ที่มีส่วนกำหนดถึงความสัมพันธ์ดังกล่าว
ช่วยกำหนดวิสัยทัศน์และทิศทางให้แก่องค์การ
นอกจากนี้ผู้นำยังมีบทบาทช่วยออกแบบโครงสร้างใหม่ขององค์การให้เป็นที่ยอมรับของทุกคน
การเปลี่ยนแปลงในลักษณะก้าวกระโดดเช่นนี้
ต้องอาศัยพื้นฐานของความศรัทธาและความศรัทธาที่สำคัญที่สุดก็คือ ผู้นำ
3.
การใช้ภาวะผู้นำร่วมกัน (Shared leadership)
มีแนวโน้มที่สำคัญหลายประการในปัจจุบัน
ที่บ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงใหญ่ด้านภาวะผู้นำในอนาคต เช่น จากแนวคิดเรื่องผู้นำเชิงวีรบุรุษ
ไปสู่รูปแบบภาวะผู้นำร่วมกัน (Shared leadership model) มากขึ้น
อย่างไรก็ดี แนวคิดดังกล่าว ยังขาดการศึกษาค้นคว้าเพื่อหาว่า
องค์การแบบที่มีการใช้ภาวะผู้นำร่วม (Shared leadership organization) ควรมีโครงสร้างและรูปแบบอย่างไรจึงเหมาะสม
มีหลายมุมมองที่เห็นว่า
การใช้ภาวะผู้นำร่วมเป็นประเด็นสำคัญ
โดยเฉพาะในองค์การรูปแบบใหม่ที่ลดเลิกการบังคับบัญชาตามลำดับชั้น
และความเป็นระบบแบบราชการลง
ทำให้ผู้นำมีบทบาทในการกำหนดทิศทางและใช้พฤติกรรมด้านการประสานงานมากยิ่งขึ้น
ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก สำหรับผู้บริหารที่จะทำเช่นนั้นได้ทั่วถึงทั้งองค์การ
ดังนั้นทางออกที่ดี ในประเด็นดังกล่าว คือ
การพัฒนาผู้นำใหม่ให้เกิดขึ้นทั่วทั้งองค์การ เพื่อให้ทำหน้าที่ในการพัฒนา
การแปลความหมาย การนำวิสัยทัศน์ และการชี้ทิศทางลงถึงพนักงานได้ทั่วถึง
ในกรณีเช่นนี้ ผู้นำแต่ละคนจึงไม่เป็นเพียงผู้ตามที่ดีของผู้นำระดับสูงเท่านั้น
แต่ต้องเป็นผู้นำที่มีสิทธิ์ในการตัดสินใจและกำหนดแนวทางปฏิบัติต่าง ๆ ด้วยตนเอง
เพราะต้องทำหน้าที่แทนผู้นำระดับสูงในการสร้างแรงดลใจต่อผู้ร่วมงานของตนให้ปฏิบัติงานที่มีประสิทธิผลยิ่งขึ้น
4. ภาวะผู้นำในองค์การเสมือน
(Leadership in virtual organizations)
ในอนาคตองค์การเสมือนนับวันเพิ่มความสำคัญและเกิดแพร่หลายมากขึ้น
ลักษณะโดยทั่วไปขององค์การเสมือนจะประกอบด้วยสมาชิกที่ผูกพันต่อกันชั่วคราวแบบหลวม
ๆ สมาชิกทั้งหมดไม่จำเป็นต้องมาจากองค์การเดียวกันและไม่เคยมีความสัมพันธ์ยาวนานต่อกันมาก่อน
การที่องค์การเสมือนมีสมาชิกที่มีแหล่งที่มาและคุณลักษณะที่หลากหลายเช่นนี้
ยิ่งต้องการผู้นำที่มีประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้เพราะผู้นำจะเป็นเพียงกลไกเดียวเท่านั้นที่สามารถทำให้เกิดความเป็นปึกแผ่นให้แก่องค์การเสมือนได้ด้วยการทำหน้าที่ด้านการประสานงาน
องค์การเสมือนบางแห่งสมาชิกอาจไม่มีโอกาสที่จะปฏิสัมพันธ์ต่อกันโดยตรง
แบบเผชิญหน้าสองต่อสองได้
แต่ใช้การติดต่อด้วยระบบอินเทอร์เน็ตและสื่ออิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ
ประเด็นเช่นนี้จึงเป็นสิ่งที่ท้าทายต่อผู้นำที่จำเป็นต้องให้ความสำคัญแม้จะเป็นภารกิจที่มีความยุ่งยากมากขึ้นก็ตาม
ทั้งยังขาดงานวิจัยที่สามารถบ่งชี้ว่า ในสถานการณ์ขององค์การเสมือนเช่นนี้
ผู้นำสามารถใช้อิทธิพลและภาวะผู้นำได้อย่างไร
ในเมื่อผู้นำไม่มีปฏิสัมพันธ์แบบสองต่อสอง
และไม่มีอำนาจแบบเป็นทางการเหนือบุคคลที่ตนต้องการนำแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม ทักษะและพฤติกรรมของผู้นำที่จำเป็นและคาดว่าจะทำให้เกิดความมีประสิทธิผลสำหรับองค์การเสมือน
น่าจะ ได้แก่
ความสามารถในการสื่อสารด้วยระบบไปรษณีย์ อีเล็คทรอนิกส์ (e-mail) และการประชุมด้วยสื่อทางไกล (video conferencing) เกิดความจำเป็นต้องมี
คู่มือปฏิบัติงานและบอกเป้าหมายที่เขียนแบบง่าย สั้นและกระชับมากขึ้น ส่งผลให้ผู้นำต้องเพิ่มภารกิจด้านการปรับเปลี่ยนวิธีการที่ใช้ในการผลักดันวิสัยทัศน์
การทำแผนการปฏิบัติงานและด้านค่านิยมใหม่ขึ้น โดยยิ่งลดการติดต่อ
โดยตรงแบบสองต่อสองลงมากเพียงไร
ก็ยิ่งเพิ่มความจำเป็นในการประสานงานของผู้นำมากขึ้นเพียงนั้น
5. การนำทีม (Leading
Teams)
มีข้อมูลจำนวนมากที่ยืนยันว่า
บริษัทขนาดใหญ่ในปัจจุบันมักจะประกอบด้วยทีมงานประเภทต่าง ๆ อยู่ภายใน
โดยทีมงานแต่ละประเภทจะมีประเภทของผู้นำที่ต่างกัน มีตั้งแต่ทีมงานเฉพาะกิจเพื่อการแก้ปัญหาเฉพาะเรื่องขององค์การ
ไปจนถึงทีมงานแบบไขว้หน้าที่
ซึ่งมีศักยภาพสูงเพื่อรับผิดชอบในการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือสินค้าตัวใหม่ จึงเป็นทีมงานที่มีภารกิจที่มีความท้าทายค่อนข้างสูง
และสำคัญต่อความเจริญก้าวหน้าของบริษัท
และพบว่าพฤติกรรมแบบหนึ่งของผู้นำที่เคยมีประสิทธิผลกับทีมงานแบบหนึ่ง
อาจใช้ไม่ได้ผลในทีมงานอีกแบบหนึ่งหรืออาจมีประสิทธิผลน้อยลงก็ได้
นอกจากนี้การมีทีมงานหลายประเภทอยู่ในองค์การเดียวกัน
ทำให้คน คนหนึ่งอาจทำหน้าที่เป็นหัวหน้าของทีมงานหนึ่ง
แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นสมาชิกของอีกทีมงานหนึ่ง หรือหลายทีมก็ได้ กรณีเช่นนี้จำเป็นที่บุคคลนั้นจะต้องมีทักษะที่หลากหลายขึ้น
เช่น ต้องมีทักษะและความสามารถในการนำทีมงานที่มีลักษณะต่างกัน
ขณะเดียวกันก็ต้องมีทักษะในบทบาทการเป็นสมาชิกและผู้สร้างผลงานให้แก่ทีมงานอื่นอีกหลายทีมไปด้วย
ทีมงานประเภทหนึ่งที่ควรกล่าวถึงในที่นี้
ได้แก่ ทีมงานผู้นำ leadership
teams) แนดเลอร์ (Nadler, 1990)
ได้ทำการศึกษาถึงเงื่อนไขที่ทำให้ทีมงานผู้นำมีประสิทธิผล
พบว่าในปัจจุบันบริษัทขนาดใหญ่ส่วนมากมีแนวโน้มที่จะบริหารโดยทีมงานผู้นำ
จึงเกิดประเด็นที่น่าพิจารณาขึ้นหลายประการ เช่น
พนักงานจะตอบสนองต่อทีมงานแทนผู้นำเพียงคนเดียวอย่างไร หรือแก้ปัญหาว่า
ผู้นำทีมงานแต่ละคนจะแบ่งหน้าที่รับผิดชอบกันอย่างไร
จะใช้วิธีแบ่งงานที่ให้ทุกคนรับผิดชอบเหมือนกันหรือใช้การแบ่งงานเพื่อให้แต่ละคนสามารถที่จะชดเชยจุดอ่อนของผู้นำคนอื่น
หรือจะร่วมกันทำงานเพื่อให้ได้ผลงานเพิ่มเป็นพิเศษมากกว่าผลงานรวมของผู้นำแต่ละคนรวมกัน
(synergy) นอกจากนี้
ยังพบว่ามีปัญหาด้านการปรับตัวของบุคคลที่ต้องแสดงบทบาทผู้นำของทีมงานหนึ่ง
แต่ต้องเป็นผู้นำถูกนำในอีกทีมงาน ผลการศึกษากล่าวว่า แม้แต่ในสังคมตะวันตกก็ตาม
แนวคิดเรื่องทีมงานผู้นำยังมีการศึกษาอยู่ในวงจำกัด โดยเฉพาะปัญหาในการปรับตัวด้านบทบาทของบุคคล
เป็นต้น
อย่างไรก็ตามแม้ว่าทีมงานผู้นำมักพบในระดับสูงสุดขององค์การ
แต่มีบางผลการวิจัยเสนอแนะว่า
ทีมงานผู้นำมีความเป็นไปได้ที่จะเพิ่มมากขึ้นทั่วทั้งองค์การ
โดยทั้งองค์การอาจประกอบขึ้นด้วยทีมงานต่าง ๆ ที่เป็นพื้นฐานโดยเฉพาะการมีทีมงานแบบไขว้หน้าที่
ซึ่งมีอำนาจการตัดสินใจต่อการปฏิบัติงานของตน (Mohrman, 1996) บางกรณีอาจมีทีมงานผู้นำในทุกระดับขององค์การ
ซึ่งจะช่วยให้ทีมงานผู้นำระดับล่างมีประสิทธิผลมากขึ้น กล่าวคือ
ช่วยหล่อหลอมทัศนะที่แตกต่างกันให้เกิดทางเลือกใหม่ที่ประสบความสำเร็จได้ดีกว่า
ช่วยทำหน้าที่แก้ปัญหาด้านการประสานงาน
เพราะได้ทราบความคืบหน้าของทีมทั้งในฐานะที่ตนเป็นผู้นำและเป็นสมาชิกทีมงาน
6. การเน้นองค์การที่ใช้องค์ความรู้เป็นฐาน
(Knowledge-based organization)
เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปในปัจจุบันว่า
องค์การที่มีความเป็นเลิศนั้น
จะต้องสามารถสร้างองค์ความรู้และมีการบริหารจัดการที่ดี
ด้วยเหตุนี้องค์การจึงให้ความสนใจในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประเด็นดังกล่าว
เช่นทุนทางปัญญา (intellectual
capital) การประเมินศักยภาพ
การพัฒนาขีดความสามารถขององค์การ การเน้นการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา การริเริ่ม
กิจกรรมที่เกี่ยวกับการพัฒนาทรัพย์สินด้านความรู้ของบริษัท เป็นต้น
ประเด็นดังกล่าวเหล่านี้ยังไม่มีคำตอบว่าจะต้องจัดองค์การและบทบาทที่เหมาะสมของผู้นำควรเป็นอย่างไร แต่แน่นอนว่าจะต้องแตกต่างไปจากเดิม อย่างน้อยจะต้องเน้นที่บุคลากรในฐานะที่เป็นทรัพย์สินที่สำคัญขององค์การ
โดยผู้นำจำเป็นต้องมีความสามารถในการดึงดูดและรักษาบุคลากรที่ดีมีความรู้ความสามารถให้อยู่กับองค์การได้ยาวนาน โดยผู้นำต้องรู้จักวางคนเหล่านี้ให้เหมาะสมกับการเป็นสินทรัพย์ทรงคุณค่าขององค์การ
เพื่อให้คนเหล่านี้พึงพอใจที่จะใช้ศักยภาพสูงสุดของตนให้เกิดประโยชน์ต่อด้านภารกิจเชิงกลยุทธ์และกิจการขององค์การ
ผู้นำต้องสามารถสร้างบรรยากาศให้เกิดความท้าทายขึ้น
โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนจากแนวคิดเดิมที่บริหารไปตามภาระหน้าที่ทางการบริหารไปสู่การมุ่งเน้นการแก้ปัญหาที่ใช้องค์ความรู้เป็นฐานแทน
(knowledge-based problems) ดังนั้นสิ่งที่ผู้นำต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับแนวคิดดังกล่าวก็คือ
การปรับปรุงรูปแบบองค์การเดิมให้เป็นองค์การที่มุ่งการใช้องค์ความรู้เป็นฐาน
(knowledge-based organizations) ซึ่งแน่นอนว่าพฤติกรรมของผู้บริหารระดับสูงจะต้องแปรเปลี่ยนจากความเป็น
ผู้บริหาร (managers) ไปสู่ความเป็นผู้นำ (leaders) มากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้เพราะกลไกและพฤติกรรมด้านบริหารจัดการตามแนวคิดเดิมไม่เอื้อต่อการสร้างและดำเนินการต่อพนักงานที่มีความรู้ซึ่งเป็นทุนทางปัญญาขององค์การได้อีกต่อไป
โดยมีหลายกรณีที่พบความจริงว่า
พนักงานที่มีความรู้เหล่านี้มีความรู้ความเข้าใจต่องานดียิ่งกว่าผู้ที่เป็นนายของตน
ซึ่งเป็นเรื่องที่ตรงกันข้ามกับสมมติฐานตามแนวบริหารจัดการเดิมที่เชื่อว่า การที่ผู้บริหารสามารถควบคุมและกำกับผู้ใต้บังคับบัญชาได้นั้นเป็นเพราะ
ผู้บริหารมีอำนาจมีความเข้าใจ
และมีความรู้ในงานที่ทำมากกว่าพนักงานที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของตน
ด้วยเหตุที่ผู้บริหารไม่สามารถทำงานเชิงปฏิบัติได้ดีกว่าผู้ใต้บังคับบัญชาดังกล่าว จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงบทบาทการบริหารจัดการของตนใหม่
ไปสู่บทบาทของผู้กำหนด
วิสัยทัศน์และพันธกิจที่สำคัญของงานโครงการ เป็นผู้กำหนดบทบาท วาระของงาน (agendas) และอำนวยความสะดวกด้านติดต่อสื่อสาร
การให้บริการและอำนวยความสะดวกด้านทรัพยากรในการทำงานของกลุ่มอย่างเพียงพอ
ตลอดจนช่วยเป็นตัวกลางเชื่อมโยงให้เกิดการประสานสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพนักงานกับลูกค้าและผู้สนับสนุนปัจจัย
(suppliers) ของตนได้อย่างมีประสิทธิผล
ดังนั้นผู้บริหารที่อยู่ในสถานการณ์ของการทำงานที่ใช้ความรู้เป็นฐานเช่นนี้
จำเป็นต้องเปลี่ยนบทบาทลดการเป็นผู้นิเทศงานให้น้อยลง แต่เพิ่มบทบาทการเป็นผู้อำนวยความสะดวก (facilitator) ให้มากยิ่งขึ้น และที่สำคัญก็คือผู้บริหารต้องมีหน้าที่สำคัญในการช่วยพัฒนาความเป็นผู้นำให้แก่พนักงานของตนที่มีทั้งความรู้ความสามารถด้านสติปัญญาและความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคในงานให้เจริญงอกงามขึ้น
ในประเด็นเช่นนี้ผู้นำจำเป็นต้องมีความสามารถในการพัฒนาด้านพฤติกรรมมุ่งเน้นการใช้ภาวะผู้นำร่วม
(shared leadership) กับผู้ใต้บังคับบัญชาของตน
ผู้นำในอนาคตจึงต้องไม่เป็นผู้ที่รู้สึกความเจริญงอกงามด้านภาวะผู้นำของลูกน้องคือภัยคุกคามต่อการเป็นผู้นำของตนและต้องไม่มีพฤติกรรมมุ่งการควบคุมต่อบุคคลเหล่านั้น
ในทางตรงกันข้าม ผู้นำต้องกระตุ้นให้เกิดผู้นำใหม่ ๆ ขึ้น
และต้องยอมรับความจริงว่า แม้ตนจะมีอำนาจตามหน้าที่ก็ตามแต่
การมุ่งใช้อำนาจตามความคิดเดิมไม่เหมาะสมต่อการทำให้งานสำเร็จอย่างมีประสิทธิผลอีกต่อไป
การสร้างผู้นำใหม่จากพนักงานที่มีความรู้ความสามารถของตนพร้อมกับมอบอำนาจความรับผิดชอบในการตัดสินใจด้านการนำจึงเป็นเรื่องเหมาะสม
โดยที่ผู้นำเปลี่ยนพฤติกรรมมาเป็นผู้สนับสนุนการทำงาน
เน้นบทบาทด้านกำหนดวิสัยทัศน์พันธกิจและเป้าหมายขององค์การมากยิ่งขึ้น
7. ผู้นำในองค์การระดับนานาชาติ
(Leadership
in global organizations)
องค์การระดับนานาชาติ (global
organization) ไม่เพียงแต่มีความยิ่งใหญ่ในแง่ขนาด แต่มี
ความสลับซับซ้อนจนยากแก่การดำเนินการยิ่งกว่าองค์การที่มีขอบเขตเฉพาะอยู่ในประเทศใดประเทศหนึ่งมากมายนัก โดยเฉพาะเงื่อนไขของแต่ละแห่งต่อการยอมรับ
ผลิตภัณฑ์และบริการอย่างเดียวกันมีความแตกต่างกัน ส่วนประเด็นที่เกี่ยวกับภาวะผู้นำนั้น
อาจกล่าวได้ว่า
การที่ผู้นำมีความรู้เทคนิคในงานและความรู้ด้านวัฒนธรรมที่จำเป็นต่อความสำเร็จนั้นยังไม่เพียงพอ
แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ในสถานการณ์จริงผู้นำจะต้องแสดงพฤติกรรมอย่างไร
จึงจะได้รับการยอมรับจากเจ้าของประเทศที่มีความแตกต่างด้านวัฒนธรรมดังกล่าวเป็นอย่างดี ซึ่งผู้นำสามารถเลือกทำได้ทางใดทางหนึ่งใน 2
แนวทางต่อไปนี้ แนวทางแรก
ผู้นำใช้วิธีการค้นหาให้ได้ว่าพฤติกรรมใดที่มีประสิทธิผลและสามารถใช้ได้แบบสากล
(universally
effective behaviors) แล้วนำไปใช้
และ แนวทางหลัง ได้แก่
การที่ผู้นำยอมละลายพฤติกรรมของตนเพื่อให้พร้อมรับวัฒนธรรมของประเทศนั้นได้อย่างเหมาะสม
ซึ่งทั้งสองแนวทางเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ง่ายนัก โดยเฉพาะเมื่อองค์การใช้รูปแบบบริหารแบบทีมงาน
ทำอย่างไรที่จะให้ผู้นำแต่ละคนในทีมงานผู้นำที่มาจากวัฒนธรรมที่ต่างกัน สามารถแสดงพฤติกรรมของตนได้เหมาะสมเข้ากันได้ดีกับวัฒนธรรมของคนอื่น
ๆ เป็นต้น
ผลกระทบของโลกาภิวัตน์
ทำให้องค์การจำเป็นต้องได้ผู้นำที่มีความสามารถในด้านการนำต่างวัฒนธรรม (cross culture) ได้ดี
การพัฒนาผู้นำระดับอาวุโสขององค์การระดับนานาชาติจึงต้องให้ความสำคัญของผู้นำที่มิใช่เพื่อการเป็นประชากรของเฉพาะประเทศใดประเทศหนึ่งเท่านั้น
แต่อย่างไรก็ตามการศึกษาวิจัยด้านภาวะผู้นำกล่าวถึงทักษะและพฤติกรรมที่เหมาะสมของผู้นำระดับนานาชาติ
(global leadership) ค่อนข้างน้อยและยังขาดความชัดเจน แต่เป็นที่คาดหมายว่า ประสบการณ์ที่ผู้นำสะสมจากการได้อาศัยอยู่ในหลาย
ๆ ประเทศเป็นเวลายาวนานในฐานะเป็นผู้นำ
จะมีส่วนสำคัญต่อผู้นำคนนั้นเมื่อมารับตำแหน่งผู้นำองค์การระดับ นานาชาติให้มีประสิทธิผลยิ่งขึ้น (McCall,
1998)
จากแนวโน้มสำคัญที่เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษสุดท้ายของศตวรรษที่ 20
ทั้ง 7 ประเด็นดังกล่าวจะยังคงดำเนินอย่างต่อเนื่องไปในอนาคตช่วงทศวรรษแรกของศตวรรษที่
21 โดยแนวโน้มด้านภาวะผู้นำในอนาคต ที่คาดหมายสามารถสรุปได้ในตาราง 4.1
กระแสการเปลี่ยนแปลงในองค์การและภาวะผู้นำในอนาคต ดังนี้
ตาราง 4.1
กระแสการเปลี่ยนแปลงในองค์การและบทบาทของผู้นำในอนาคต
ประเด็นที่เปลี่ยนแปลง
|
ลักษณะที่เปลี่ยนแปลงขององค์การและผู้นำ
|
-
ด้านโครงสร้าง (structure)
-
องค์ประกอบของ
ประชากร (demographic)
- กระแสโลกาภิวัตน์
(globalization)
|
- องค์การแบบแนวราบ รูปแบบโครงสร้างใหม่ และเน้นการใช้
ทีมงาน
-
ผู้นำต้องปรับบทบาทใหม่
เน้นที่ผู้ตามและผู้มีส่วนได้เสีย
-
มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมเพิ่มขึ้น
ช่องว่างระหว่าง
พนักงาน สูงอายุกับพนักงานรุ่นใหม่มีมากขึ้น
-
ผู้นำต้องมีความเข้าใจถึงความแตกต่างและองค์ประกอบทาง
วัฒนธรรม
-
เผชิญกับลักษณะข้ามวัฒนธรรม (cross-culture) มากขึ้น มีทีมงาน
ข้ามชาติและผู้นำข้ามชาติมากขึ้น
-
ผู้นำต้องทำความเข้าใจวัฒนธรรมต่างชาติและมีความเป็น
นานาชาติมากขึ้น ต้องสนใจจับติดกระแสโลก (global
issues) อยู่
เสมอ
|
ประเด็นที่เปลี่ยนแปลง
|
ลักษณะที่เปลี่ยนแปลงขององค์การและผู้นำ
|
- จริยธรรมใหม่ของการ
ทำงาน (new work ethic)
- การเรียนรู้และองค์ความรู้
(learning and knowledge)
- เทคโนโลยีและการเข้าถึงสารสนเทศ
(technology and access to information)
- เน้นเรื่องความยืดหยุ่น (emphasis
on flexibility)
-
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว (fast-paced
change)
|
-
ความภักดีต่อองค์การลดลง
มีการเปลี่ยนแปลงค่านิยมในการ
ทำงานมากขึ้น
-
ผู้นำต้องสามารถประสานวิธีการทำงานกับความแตกต่างด้าน
วัยวุฒิของกลุ่มบุคลากรให้ผสมกลมกลืนได้มากขึ้น
-
บุคลากรที่ทำงานเป็นผู้มีความรู้สูงขึ้น องค์การเปลี่ยนเป็นองค์การ
แห่งการเรียนรู้ (learning
organization)
-
ผู้นำต้องพัฒนาความสามารถตนเองในการนำผู้ร่วมงานที่ทรง
ความรู้
-
เทคโนโลยีใหม่เกิดขึ้นรวดเร็ว สารสนเทศเพิ่มปริมาณขึ้น อัตรา
ความเร็วในการเคลื่อนที่ของสารสนเทศสูงมาก
เกิดวิธีใหม่ ๆ ที่มี
ประสิทธิภาพในการเข้าถึงและการใช้สารสนเทศร่วมกัน
-
ผู้นำต้องก้าวทันเทคโนโลยีอยู่เสมอ
แหล่งที่มาของอำนาจจะ
เปลี่ยนไป มีการบูรณาการเทคโนโลยีต่าง ๆ
เข้าด้วยกันเพื่อเพิ่ม
ประสิทธิผลของผู้นำ
-
โครงสร้างองค์การที่ยืดหยุ่นพร้อมที่จะปรับตัวได้รวดเร็ว ความ
ยืดหยุ่นส่วนบุคคลเพิ่มมากขึ้น
-
ผู้นำจำเป็นต้องเรียนรู้วิธีการบริหารการเปลี่ยนแปลง (manage
change)
-
เกิดภาวะไม่แน่นอนขึ้นทั้งภายในและภายนอกองค์การอัน
เนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา
-
ผู้นำต้องสามารถติดตามและก้าวทันการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นใน
ปัจจุบันและสามารถคาดการณ์ต่อไปในอนาคตได้อย่างแม่นยำ
|
ภาวะผู้นำตามแนวความคิดเดิม คือ การใช้คำสั่งและการกำกับควบคุม
แนวคิดเช่นนี้ไม่เหมาะสมที่จะนำมาใช้ให้เกิดประสิทธิผลได้อีกต่อไปในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ทั้งทางด้านสังคม วัฒนธรรม
และองค์การที่ปรับเปลี่ยนไปทั่วโลกมีแนวโน้มในอนาคตที่มุ่งเน้นให้องค์การมีความสามารถในการยืดหยุ่นมากขึ้น แต่ยังคงความมีประสิทธิภาพสูงอยู่นั้น
ทำให้ผู้บริหารระดับสูงยากที่จะใช้แนวทางบริหารแบบเดิมให้ประสบความสำเร็จเหมือนในอดีตได้อีกต่อไป ภายใต้บริบทของโลกที่เปลี่ยนแปลงเช่นนี้
มีผลกระทบต่อองค์การและผู้นำที่จะต้องปรับเปลี่ยนแนวคิดเชิงกระบวนทัศน์ขึ้นใหม่ที่สามารถที่จะเผชิญต่อภาวะแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต ได้อย่างมีประสิทธิผลยิ่งขึ้น จึงคาดว่า
ผู้นำในอนาคตจะต้องยอมรับแนวคิดที่ต้องให้บริการ
(service mentality) ต่อผู้มีส่วนได้เสียทั้งภายในและภายนอกองค์การ
โดยเริ่มก่อนที่พฤติกรรมของผู้นำที่แสดงเจตคติบริการแก่ลูกน้องของตนเพื่อให้เป็นแบบอย่างที่ดีแก่คนเหล่านี้
ได้เรียนรู้และเกิดจิตสำนึกการให้บริการแก่บุคคลอื่น
และผู้มีส่วนได้เสียภายนอกอีกทอดหนึ่ง
ผู้นำจึงจำเป็นต้องเลิกทัศนะการเป็นนาย (powerful bosses) ของตนลงในการยึดแนวคิดการมีน้ำใจบริการนั้น
ผู้นำจำเป็นต้องเน้นค่านิยมด้านการมีความสัตย์ซื่อถือคุณธรรมยึดมั่นหลักการ (integrity and
honesty) ต่อผู้มีส่วนได้เสียดังกล่าว เป็นสำคัญ
ผู้นำในอนาคตจะต้องมีมุมมองที่กว้างไกลระดับโลก
(global perspective) จะต้องชาญฉลาดและเข้าใจอย่างถ่องแท้ต่อปัจจัยทางวัฒนธรรม
ด้วยเหตุที่จะต้องเกี่ยวข้องกับบุคคลที่หลากหลายวัฒนธรรมมีความแตกต่างของผู้ปฏิบัติงานในองค์การ
และผู้เกี่ยวข้องกับองค์การเพิ่มมากขึ้นตามกระแสโลกาภิวัตน์ผู้นำจำเป็นต้องมีความสามารถในการเข้าใจและสามารถปฏิสัมพันธ์กับคนต่างวัฒนธรรมได้อย่างเหมาะสมรู้จักละเว้นการแสดงเจตคติแบบการลงความเห็นตัดสินใด
ๆ หรือการใช้คำพูดเชิงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับวัฒนธรรมอื่น แต่ใช้การติดต่อ เรียนรู้โดยตรงด้วยมุมมองที่ดีต่อผู้อื่นเสมอ
ผู้นำในอนาคต
จะต้องเข้าใจองค์การรูปแบบใหม่จากมุมมองที่เป็นองค์รวมเพื่อให้การปฏิบัติงานหน้าที่ของทุกกลไกในองค์การมีลักษณะของการบูรณาการ
ผู้นำต้องมีความสามารถและทักษะการทำงานแบบทีมงานได้ดี จะต้องมีทักษะเชิงกลยุทธ์ในงานที่เป็นส่วนต่าง
ๆ ขององค์การได้ดีจนประสานสัมพันธ์เกิดเป็นองค์รวมขึ้น
ผู้นำในอนาคต
จำเป็นต้องมีความยืดหยุ่นสูง
สามารถเปิดกว้างเพื่อรองรับสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นได้ดี
ต้องมีความสามารถในการบริหารการเปลี่ยนแปลง (manage change)
ผู้นำในศตวรรษที่ 21
ต้องชอบต่อความท้าทายและการทดลองใหม่ ๆ
รู้จักลดข้อจำกัดของตนและองค์การให้น้อยลง
และมีความกล้าเสี่ยงอย่างรอบคอบในการตัดสินใจที่เกี่ยวกับด้านวิสัยทัศน์มากขึ้น
ผู้นำในอนาคต
จะต้องผูกพันต่อการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
จะต้องหมั่นพัฒนาฝึกอบรมและหาประสบการณ์ใหม่ เพื่อคงความมีทักษะ ความรู้ความเข้าใจในการนำองค์การแห่งการเรียนรู้ของตนให้สามารถก้าวทันกระแสโลก
ผู้นำจำเป็นต้องมีทักษะ เช่น ทักษะในการเรียนรู้
และการทำความเข้าใจเชิงมโนทัศน์ด้วยตนเอง
ทักษะด้านการสื่อสารและความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ความสามารถในการบริหารและการทำงานแบบทีม การบริหารความขัดแย้งและเทคนิคการเจรจาต่อรอง ความสามารถก้าวทันเทคโนโลยี
และเทคโนโลยีสารสนเทศใหม่ ๆ รวมทั้งการมีความรู้ความเข้าใจต่อพฤติกรรมเชิงการเมือง
เป็นต้น
ผู้นำในอนาคต
จำเป็นต้องมีความสามารถสร้างความสมดุลได้ดีระหว่างงานในตำแหน่งหน้าที่ผู้นำ
กับด้านชีวิตส่วนตัว
รวมทั้งการสร้างความงอกงามด้านความรู้สมัยใหม่ที่เกี่ยวกับวิชาชีพของตน
การบริหารจัดการไม่ว่าจะเกี่ยวกับภาครัฐหรือเอกชนก็ตาม
มีปัจจัยหลาย ๆ
อย่างที่เกี่ยวข้องในการเป็นองค์ประกอบในการบริหารจัดการให้งานสำเร็จลุล่วงตามเป้าหมายที่ได้กำหนดไว้
ปัจจัยที่สำคัญอีกอันหนึ่งก็คือปัจจัยเกี่ยวกับตัวผู้นำหรือผู้บริหารงานซึ่งเป็นส่วนที่เปรียบเสมือนศูนย์บัญชาการในการวางแผนและสั่งงานคล้ายกับสมองของคน
ดังนั้น
ผู้บริหารหรือผู้นำจะต้องมีลักษณะหรือภาวะผู้นำที่เป็นคุณลักษณะพิเศษ ซึ่งจะต้องมีทั้งความรู้ ประสบการณ์ และมีจริยธรรม
รวมทั้งมีความคิดสร้างสรรค์ที่แตกต่างไปจากบุคคลอื่น ๆ
ซึ่งเรียนกันโดยทั่วไปว่าเป็นมืออาชีพ
สำหรับการพิจารณาลักษณะของผู้นำนั้นมีแนวคิดอยู่มากมาย
ทั้งในด้านโหราศาสตร์และวิทยาศาสตร์
เช่นการดูรูปลักษณะทางกายภาพนอกหรือที่เรียกว่าดูโหงวเฮ้ง
หรือการดูจากพฤติกรรมและบุคลิกท่าทางรวมทั้งความสมบูรณ์ของร่างกายและจิตใจ ประกอบกับการปฏิบัติงานในด้านต่าง ๆ ด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรจะต้องนำมาพิจารณากันในหลาย
ๆ ด้าน
ทั้งนี้จะขอกล่าวลักษณะของผู้นำในอดีตและปัจจุบัน รวมทั้งในอนาคตโดยอาศัยแนวคิดต่าง ๆ
มาผสมผสานให้เป็นข้อสังเกตที่ควรจะนำไปพิจารณาดังต่อไปนี้
1.
ลักษณะของผู้นำในอดีต มีแนวคิดดั้งเดิมในสมัยโสโครติส เพลโต โดยให้ความคิดว่าผู้นำหรือผู้ปกครองควรมีลักษณะเป็นแบบราชาปราชญ์หรือผู้นำในอุดมคติ ควรจะมีลักษณะดังต่อไปนี้
(1) เป็นผู้ปกครองที่เป็นปราชญ์
คือ มีความฉลาดและมีปฏิภาณไหวพริบดี
ซึ่งทำให้ผู้นำมีความคิดมีปัญญาที่จะบริหารบ้านเมืองได้สำเร็จ
(2)
ผู้นำจะต้องไม่มีทรัพย์สินเป็นของตัวเอง คือ ผู้นำจะต้องไม่คิดที่จะหาประโยชน์เพื่อตน
ควรคิดแต่ทำประโยชน์ให้ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง
(3) ผู้นำจะต้องเสียสละ
โดยจะต้องสละทั้งเวลา รวมทั้งร่างกายและจิตใจ
เพื่ออุทิศต่อการบำเพ็ญประโยชน์ในส่วนรวมให้ประชาชนมีความสุขมากที่สุด
(4) ผู้นำจะต้องไม่มีภริยา
เพื่อผู้นำจะได้ไม่คิดห่วงใย
และมีทรัพย์สินไว้สำหรับสืบทอดให้ทายาท
(5)
ผู้ปกครองหรือผู้นำจะต้องมีคุณธรรมในการควบคุมตัวเองและในความกล้าหาญ
รวมทั้งคุณธรรมในการให้ความยุติธรรมต่อผู้อื่นด้วย
ซึ่งแนวคิดของโสเครติสและเพลโตเป็นแนวคิดที่ในทางปฏิบัติอาจทำได้เพียงบางประการเท่านั้น
แต่ก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในปัจจุบันและในอนาคตได้ดีและเหมาะสมกับยุคสมัยในสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นได้
2. ผู้นำในปัจจุบัน
เนื่องจากในปัจจุบันเป็นยุกต์โลกาภิวัตน์ ซึ่งเป็นยุคของข้อมูลข่าวสารครอบงำไปทั่ว
เนื่องจากมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยทำให้โลกเล็กลงได้
ดังนั้น การติดต่อสื่อสารกันสามารถทำได้รวดเร็วเปรียบเสมือนโลกไร้พรมแดน
และผู้นำในปัจจุบันจะต้องปรับเปลี่ยนให้ทันกับยุคสมัย ดังนั้น
ผู้นำในปัจจุบันควรจะต้องมีลักษณะดังต่อไปนี้
(1)
ผู้นำควรจะต้องมีลักษณะเป็นคนคิดเก่ง ทำเก่ง
โดยจะต้องเป็นคนขยันคิดไม่อยู่เฉย
(2)
ลักษณะของผู้นำจะต้องมีวิสัยทัศน์ คือ
จะต้องมีความคิดเห็นที่มองไปยังอนาคตเพื่อกำหนดเป้าหมายในสิ่งที่คาดหวังไว้
(3)
ผู้นำในปัจจุบันจะต้องมีความคิดสร้างสรรค์ คือ
คิดในสิ่งที่ถูกต้องและเป็นสิ่งที่ดี ไม่มองโลกในแง่ร้าย
จะต้องเลือกทำในสิ่งที่ถูก มีทางเลือกหลาย
ๆ ทาง ไม่คิดถอยหลังเข้าคลอง
หรือมีลักษณะเป็นคนหัวเก่า หรือ Conservative
(4)
ผู้นำจะต้องมีลักษณะเป็นคนยอมรับในสิ่งเปลี่ยนแปลง หรือนวัตกรรมใหม่ ๆ ได้
(5)
ผู้นำจะต้องมีลักษณะเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง (Change Agen)
เมื่อพิจารณาลักษณะของผู้นำในปัจจุบันแล้วเห็นว่า
ทุกองค์กรโดยเฉพาะภาคธุรกิจได้แนวคิดเรื่องการจัดการบริหารแนวใหม่ (NPA) มาใช้เพื่อให้องค์กรในภาคเอกชนปรับเปลี่ยนให้ทันสมัยกับยุคโลกาภิวัตน์
และนอกจากนี้ในภาครัฐบาลก็ยังมีการปฏิรูประบบราชการเพื่อปรับเปลี่ยนให้องค์กรในภาครัฐมีลักษณะสอดคล้องกับยุคโลกาภิวัตน์โดยมีการปรับเปลี่ยนในด้านโครงสร้างหรือในด้านบุคลากรเกี่ยวกับแนวคิดและแนวปฏิบัติใหม่
แต่อย่างไรก็ตาม
ลักษณะของผู้นำและแนวปฏิบัติใหม่ในปัจจุบัน
ก็ยังปรับเปลี่ยนไม่ทันกับความเจริญก้าวหน้าในด้านเทคโนโลยีที่ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วมาก
3.
ผู้นำในอนาคต
ผู้นำในทศวรรษหน้าไม่ว่าจะเป็นภาคเอกชนหรือภาครัฐควรจะต้องปรับเปลี่ยนลักษณะของผู้นำให้มีภาวะผู้นอสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว เพื่อรองรับในการบริหารจัดการให้ทันท่วงที
โดยผู้เขียนใคร่ขอเสนอว่า
การเลือกผู้นำในทศวรรษหน้าควรจะต้องพิจารณาในสิ่งต่าง ๆ ประกอบกันหลาย ๆ
อย่างด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นลักษณะคุณสมบัติของผู้นำ พฤติกรรมในการปฏิบัติหน้าที่ ประสบการณ์
จริยธรรม หรือในด้านอื่น ๆ
มาผสมผสานประกอบกันด้วยเพื่อให้ได้ผู้นำที่มีความพร้อมมากที่สุดอันจะนำพาประเทศชาติไปสู่ความเจริญก้าวหน้าและเกิดความสงบเรียบร้อยขึ้นอย่างยั่งยืนต่อไป
ดังนี้
(1)
ผู้นำควรจะต้องมีทศพิธราชธรรมประจำใจ
(2)
ผู้นำควรจะต้องมีความรู้
มีปัญญาที่จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
(3)
ผู้นำควรจะต้องทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน
(4)
ผู้นำควรจะต้องขยันคิด ขยันทำ
มีความทะเยอทะยาน
และมีความกระตือรือร้นตลอดเวลา
(5)
ผู้นำจะต้องเสียสละให้ประโยชน์ส่วนรวมและไม่ยึดประโยชน์เอามาเป็นของตนและพวกพ้อง
(6)
ผู้นำจะต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต
และมีความยุติธรรม มีเหตุมีผล ไม่หลงอำนาจ
กระทำด้วยความชอบธรรม ไม่ทำตามอำเภอใจ
(7)
ผู้นำจะต้องมีความคิดสร้างสรรค์
ยอมรับในนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่เปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น
(8)
ผู้นำจะต้องมีความโปร่งใสและมีความเสมอภาคต่อทุกคน
(9)
ผู้นำจะต้องมีการติดต่อสื่อสาร
ประสานงานกับประเทศต่าง ๆ ได้อย่างสอดคล้องสมานฉันท์กัน
(10)
ผู้นำควรจะต้องมีวิสัยทัศน์
มีกลยุทธ์ในการวางแผนล่วงหน้าเสมอ
และจะต้องรู้เขารู้เราด้วย
(11)
ผู้นำไม่ควรมีธุรกิจเป็นของตนเอง
หรือมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับธุรกิจของพวกพ้องตนเอง
(12)
ผู้นำควรจะต้องมีความเป็นตัวของตัวเอง และมีความยืดหยุ่นเห็นใจผู้อื่น
(13)
ผู้นำควรจะต้องมีความอดทนและกล้าหาญ รวมทั้งมีความรับผิดชอบ
(14)
ผู้นำควรจะต้องมีบุคลิกภาพสง่างาม และมีจิตใจโอบอ้อมอารี เมตตาธรรม
(15)
ผู้นำควรมีทักษะในหลาย ๆ ด้าน
และทำงานติดต่อสื่อสารกันเป็นทีม
ภาวะผู้นำสำหรับผู้บริหารสถานศึกษาในอนาคต
สถานการณ์ ภาวการณ์ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามบริบท
ของสังคม ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง
สิ่งแวดล้อม
เทคโนโลยี ฯลฯ
เป็นการเปลี่ยนแปลงซึ่งต้องบริหารแบบรู้เท่าทัน ทันการณ์ มีวิสัยทัศน์
โดยใช้พื้นฐานความรู้เดิมเป็นตัวตั้ง
แล้วนำมาวิเคราะห์เรียบเรียง
เพื่อศึกษาและทำความเข้าใจ แล้วจัดการกำจัดจุดอ่อน และเพิ่มจุดแข็งให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ภาวะผู้นำเป็นกระบวนการที่ผู้นำหรือที่มีภาวะผู้นำ เป็นผู้ที่ชักนำ จูงใจ ชี้นำ
ใช้อิทธิพล หรืออำนาจที่มีอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ
ทำให้หรือกระตุ้นให้หรือชี้นำให้เพื่อนร่วมงานหรือผู้ใต้บังคับบัญชาให้ยินดี
เต็มใจ พร้อมใจ ยินดีในการกระทำการ
ให้มีความกระตือรือร้นหรือร่วมดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง
ตามที่ผู้นำต้องการให้มีพฤติกรรมไปในทิศทางที่เขาชักนำในการทำงานหรือดำเนินกิจกรรมที่ผู้นำนั้นรับผิดชอบ
หรือตามที่ผู้นำนั้นต้องการ การเปลี่ยนแปลงเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลา ไม่อาจแยกจากกันได้เด็ดขาดว่าเป็นยุคอดีต ยุคปัจจุบัน และยุคอนาคต
แต่จะมีลักษณะที่คาบเกี่ยวและมีความสัมพันธ์ต่อกันเสมือนอยู่บนเส้นตรงเดียวกัน
กระแสการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาที่เราคาดหมายว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตก็เช่นกัน
ก็อาจมีกระแสหลักอยู่หลายประเด็นที่ได้เกิดมาในอดีต
แล้วดำเนินสืบต่อมาในปัจจุบันและอาจต่อเนื่องต่อไปในอนาคตก็ได้
หรืออาจเป็นกระแสหลักที่คาดว่าจะเกิดขึ้นใหม่ในอนาคตเลยก็ได้ ดังนั้น
ผู้นำในโรงเรียนในอนาคต ควรผู้บริหารที่เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงสู่คุณภาพการศึกษา
ผู้บริหารในอนาคตจึงต้องมีคุณสมบัติที่เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงสู่คุณภาพการศึกษา
และจัดการบริหารสถานศึกษาให้เป็น องค์การแห่งการเรียนรู้ (learning
organization) อย่างแท้จริง
ผู้บริหารในอนาคตจะต้องมีศักยภาพดังต่อไปนี้
1.
ผู้บริหารต้องมีความสามารถรับรู้
เข้าใจ และตีความต่อสัญญาณบอกเหตุใด ๆ ที่จะเข้ามาจากสิ่งแวดล้อม
ภายนอกได้อย่างแม่นยำและถูกต้อง มีความยืดหยุ่นและสามารถสนองตอบต่อสัญญาณบอกเหตุดังกล่าว
ด้วยวิธีการต่าง ๆ ได้ดี เช่น ปรับตัวด้านโครงสร้าง ปรับหลักสูตร ปรับกระบวนการเรียนการสอน ปรับกระบวนการบริหารจัดการใหม่ที่มีความสอดคล้องเหมาะสม
เป็นต้น สามารถที่จะมีอิทธิพลทั้งเชิงรุก และเชิงรับ ต่อชุมชน/สังคม
โดยเฉพาะต่อแนวคิดและค่านิยมที่ได้รับผลกระทบจากภาวะโลกาภิวัตน์
2.
ผู้บริหารจำเป็นต้องเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรที่ก่อให้เกิดความร่วมมือและมีความยืดหยุ่นคล่องตัวมากขึ้น
ซึ่งน่าจะเป็นโครงสร้างแบบแนวนอน มากกว่า
และยิ่งถ้าโรงเรียนต้องการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดได้ดีในอนาคตด้วยแล้ว
ก็จะเป็นที่จะต้องสลายพรมแดนระหว่างหน่วยงานย่อยต่างๆ
ภายในให้เหลือน้อยที่สุดต้องลดการควบคุม (control) แต่เพิ่มการประสานสัมพันธ์ ให้มากขึ้น
ยึดความยืดหยุ่นคล่องตัวเพื่อให้เกิดการบริหารที่มุ่งเป้าหมายของงานมากกว่าเพื่อการบริหารระเบียบกฎเกณฑ์แบบราชการ
ซึ่งเป็นระบบที่ตึงตัวที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งกับการบริหารจัดการสถาบันทางวิชาการ
3.
ผู้บริหารต้องมีภาวะผู้นำที่ดี
โดยต้องปรับเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นผู้ควบคุมงาน (controller) หรือผู้คุมกฎ
(gatekeeper)
ไปสู่บทบาทใหม่ในฐานะ ผู้สนับสนุนหรือผู้เอื้ออำนวยด้านสารสนเทศ
มากขึ้น เป็นผู้นำการพัฒนาศักยภาพของครูและเป็นผู้ใช้วิธีการกระจายอำนาจการตัดสินใจให้แก่ผู้ร่วมงาน
ด้วยเหตุนี้แนวคิดเดิมที่ถือว่าการบริหารหน่วยงานจะต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจ
โดยผู้นำเพียงคนเดียวหรือ Single leader เท่านั้น
จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนมาเป็น การกระจายภาวะผู้นำ ให้แก่ผู้ร่วมงานในระดับต่าง ๆ
ได้มีโอกาสเป็นผู้นำที่ได้รับการมอบอำนาจความรับผิดชอบการตัดสินใจในขอบเขตงานของตนได้ด้วยตนเองมากขึ้น
4.
ผู้บริหารต้องปรับกลยุทธ์การบริหารจัดการ
โดยยึดหลักการให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างกัน เช่น
ความเชื่อมโยงการทำงานของครูแต่ละคน ให้กลายเป็นทีม
ความเชื่อมโยงระหว่างทีมงานกับทีมงาน ระหว่างแผนกงานกับแผนกงาน
และระหว่างโรงเรียนกับชุมชนภายนอก เป็นต้น
5.
ผู้บริหารต้องสร้างเครือข่ายพันธมิตร (strategic
networks) กับสถานศึกษาอื่น ตลอดจนกับหน่วยงานอื่นทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อประโยชน์ของความร่วมมือ
การใช้ทรัพยากรร่วม และการเพิ่มความแข็งแกร่งทางวิชาการ
การสร้างผลผลิตที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้
รวมทั้งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการโรงเรียนมากยิ่งขึ้น
6.
ผู้บริหารต้องให้ความสำคัญกับผู้มีส่วนได้เสียกับโรงเรียน เช่น
ผู้ปกครองและชุมชนที่ต้องการเข้าไปมีบทบาทต่อการดำเนินงาน
และการจัดการศึกษาอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ
7.
ผู้บริหารจะต้องแสดงบทบาทการเป็นผู้นำที่สำคัญของสังคมแห่งความรู้
(knowledgesociety) โดยต้องใช้เทคโนโลยีก้าวหน้าชั้นสูงเป็นเครื่องมือดำเนินการไปสู่ความสำเร็จดังกล่าว
ตลอดจนใช้เพื่อการพัฒนาศักยภาพการเรียนรู้ของนักเรียนให้ได้ตามความคาดหวังของสังคม
8.
ผู้บริหารต้องพัฒนาแหล่งเรียนรู้ให้หลากหลายและทันสมัยเรียกว่า การเรียนรู้แบบไร้พรมแดน
โดยไม่จำกัดเวลาและสถานที่ ซึ่งอาจเป็นที่บ้าน ที่ทำงาน ศูนย์การค้า รวมทั้งที่โรงเรียนเองก็ได้
กล่าวโดยสรุปต่อไปนี้ จะมีแหล่งความรู้ที่มีขนาดใหญ่มหึมา
มีข้อมูลสารสนเทศที่ทันสมัยให้เลือกได้ตามที่ต้องการอย่างหลากหลายมากมาย
และมีความน่าสนใจ ตลอดจนทุกคนสามารถเข้าถึงองค์ความรู้และสารสนเทศเหล่านั้นได้ดีกว่าการเรียนแบบเดิมในห้องเรียน ปรากฎการณ์ดังกล่าว
จะบีบบังคับให้ครูต้องพัฒนาตนเองเพื่อให้สามารถทำหน้าที่ภายใต้สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างมีประสิทธิผล
9.
ผู้บริหารต้องจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของโรงเรียนและชุมชุน
ทั้งสองฝ่ายต้องร่วมมือกันจัดการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน
มิฉะนั้นสิ่งที่เรียน/ที่สอนอยู่ในโรงเรียนนับวันจะล้าสมัยห่างไกลจากความเป็นจริงยิ่งขึ้น
จนไม่สามารถสร้างผลผลิตจากการศึกษาให้สอดคล้องตรงตามความต้องการของผู้ใช้ผลผลิตของโรงเรียนได้ หน้าที่สำคัญของการศึกษาขั้นพื้นฐานมิอาจจำกัดเพียงแค่การให้สาระความรู้ที่จำเป็นแก่ผู้เรียนเท่านั้น แต่สิ่งที่จำเป็นและขาดไม่ได้ก็คือ การทำให้ผู้เรียนมีทักษะชีวิต ที่สอดคล้องกับการดำรงชีวิตในโลกสมัยใหม่ได้อย่างชาญฉลาดและอย่างมีความสุข
การรู้เท่าทันโลก การรู้จักทางเลือก การรู้จักแก้ปัญหา
การได้รับการพัฒนาทักษะและนิสัยใฝ่รู้ใฝ่เรียนอย่างไม่ยอมจบสิ้น (life-long
learner)
10. ผู้บริหารจะต้องมีกระบวนการพัฒนาบุคลากรให้เป็นครูมืออาชีพ
(professionalism) มากยิ่งขึ้น
โดยมุ่งเน้นให้ครูมีความเป็นนักจัดการเรียนรู้ (learning managers) ฝีมือดี
ที่มีเจตคติแห่งความเป็นครูสูง
มีความรู้ความสามารถและทักษะในการปฏิบัติวิชาชีพที่ทันสมัยอยู่ในระดับสูง
11.
ผู้บริหารต้องให้การสนับสนุนการปฏิบัติงานของครูในทุกเรื่องและในทุกบริบท จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องร่วมมือทำกันเป็นทีมเสมือนคณะแพทย์ที่ทำการผ่าตัดคนไข้
ด้วยเหตุนี้ครูจึงต้องได้รับการพัฒนาด้านการทำงานแบบทีม รวมทั้งพัฒนาความฉลาดรู้ทางอารมณ์ (EQ) อีกด้วย
12.
ผู้บริหารจะต้องสร้างและมีวัฒนธรรมการทำงานที่ส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือร่วมใจ
(collaborative)
มากกว่าการเน้นเรื่อง การแข่งขัน(competitive)
ในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ
ทุกด้านของนักเรียน ครู และบุคลากรทุกฝ่ายในโรงเรียน ตลอดจนชุมชนภายนอก เพราะความร่วมมือร่วมใจกันจะก่อให้เกิดความมีพลังเพิ่มที่มากกว่าปกติ ที่เรียกว่า Synergy ขึ้น
ซึ่งทำให้งานสำเร็จได้ง่าย
รวดเร็วขึ้นและได้ปริมาณงานออกมามากขึ้นกว่าเดิม ที่สำคัญคือ จะช่วยเสริมสร้างบรรยากาศของการมี สามัคคีธรรม
ให้เกิดขึ้นในที่ทำงาน
องค์กรหรือสถานศึกษาที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับของชุมชนและสังคม
หัวใจสำคัญก็คือ
ผู้นำหรือผู้บริหารสถานศึกษาที่จะเป็นตัวจักรสำคัญในการบริหารจัดการเกิดการขับเคลื่อน
ซึ่งประกอบไปด้วยคน งบประมาณและการจัดการให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
ผู้นำหรือผู้บริหารสถานศึกษาจึงเป็นผู้มีบทบาทสำคัญที่จะชี้เป็นชี้ตายต่อองค์กรเพื่อตอบสนอง
นโยบาย หลักสูตร และความคาดหวังของสังคมได้ตามความคาดหวังหรือไม่ ยังเป็นคำถามดังก้องมาหลายทศวรรษ และยังต้องตามหาคำตอบกันต่อไป ดังคำกล่าวที่ว่า “การปลูกพืชจะเจริญงอกงามต้องเห็นเงาของผู้ปลูกฉันใด โรงเรียนจะมีคุณภาพต้องเห็นเงาผู้บริหารฉันนั้น”
จากแนวคิดของ รศ.ดร.อุทัย บุญประเสริฐ
ได้สรุปสาระสำคัญของภาวะผู้นำสำหรับผู้บริหารสถานศึกษาในอนาคต ไว้ดังนี้
ภาวะผู้นำเป็นกระบวนการที่ผู้นำหรือผู้ที่มีภาวะผู้นำ
เป็นผู้ที่ชักนำ จูงใจ ชี้นำ
ใช้อิทธิพลหรืออำนาจที่มีอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ
ทำให้หรือกระตุ้นให้หรือชี้นำให้เพื่อนร่วมงานหรือผู้ใต้บังคับบัญชาให้ยินดี
เต็มใจ พร้อมใจยินดีในการกระทำการ ให้มีความกระตือรือร้นหรือร่วมดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ผู้นำต้องการหรือตามที่ผู้นำต้องการให้มีพฤติกรรมไปในทิศทางที่เขาชักนำในการทำงานหรือดำเนินกิจกรรมที่ผู้นำนั้นรับผิดชอบหรือตามที่ผู้นำนั้นต้องการ ซึ่งสิ่งที่ผู้นำในโรงเรียนในอนาคตควรมี
เพื่อเป็นฐานในการพัฒนาภาวะผู้นำ
อย่างน้อยน่าจะประกอบด้วยสิ่งสำคัญเหล่านี้
1) ความสามารถเชิงวิสัยทัศน์ การวางแผนและการกำหนดเป้าหมายขององค์การ
2) ความสามารถในการทำงานแบบมีส่วนร่วม
3) ความสามารถในการสื่อสารแบบมีประสิทธิผล
4) ความสามารถในการสร้างทีมงาน
5) ความสามารถในการดำเนินกระบวนการตัดสินใจแบบมีส่วนร่วม
6) ความสามารถในการจัดการกับปัญญา
7) ความสามารถในเรื่องการสร้างสรรค์นวัตกรรมความคิดสร้างสรรค์และการริเริ่มในการเปลี่ยนแปลงองค์การ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น